อีสเตอร์ หรือ วันพระเยซูคริสต์ทรงคืนพระชนม์[1] (อังกฤษ: Easter; อังกฤษเก่า: Ēostre หรือ อังกฤษ: Pasch[2][3], Pascha[4]; ละติน: Pascha ปัสคา; กรีก: Πάσχα, Paskha; แอราเมอิก:פַּסחא Pasḥa; มาจาก ฮีบรู: פֶּסַח Pesaḥ) คริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกในประเทศไทยเรียกว่า วันสมโภชปัสกาพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ เป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญมากที่สุดในศาสนาคริสต์ จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการคืนพระชนม์ของพระเยซูหลังจากที่ทรงถูกตรึงกางเขนและสิ้นพระชนม์ไปแล้วสามวัน โดยวันที่จะเปลี่ยนไปในแต่ละปีแต่กำหนดให้ทุกปีต้องจัดขึ้นในวันอาทิตย์ (เพราะเป็นวันที่ทรงถูกตรึงกางเขนตามพระคัมภีร์) เรียก วันอีสเตอร์
นอกจากนี้วันอีสเตอร์ถือเป็นวันสิ้นสุดเทศกาลมหาพรตซึ่งเป็นช่วงเวลา 40 วันที่คริสต์ศาสนิกชนถือศีลอดและสวดภาวนาเป็นพิเศษ สัปดาห์สุดท้ายของเทศกาลมหาพรตเรียกว่าสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ วันศุกร์ของสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์เรียกวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (หรือที่ชาวโปรเตสแตนต์เรียกวันศุกร์ประเสริฐ) เป็นวันที่พระเยซูโดนตรึงกางเขน หลังจากวันอีสเตอร์เป็นเทศกาลปัสกา (Eastertide) 50 วัน และจบเทศกาลในวันอาทิตย์สมโภชพระจิตเจ้า
ประเพณีในการเฉลิมฉลองแตกต่างกันทั่วโลก แต่การตกแต่งไข่อีสเตอร์และกิจกรรมค้นหาไข่เป็นที่นิยมกันมากที่สุดในหมู่เด็ก ๆ
อีสเตอร์ วันที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในปฏิทินของชาวคริสต์ เป็นการเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู แล้วปาฏิหาริย์นี้เกี่ยวข้องอะไรกับกระต่ายและไข่หลากสีด้วย คำตอบซ่อนอยู่ในพิธีกรรมและประเพณีที่สืบต่อกันมาเป็นหลายร้อยชั่วอายุคน
ตามบันทึกในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูและพระอัครธรรมฑูต (The Apostle) เดินทางไปที่เมืองเยรูซาเลม (Jerusalem) เพื่อประกอบพิธี Passover ซึ่งเป็นเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวเพื่อรำลึกถึงการที่ชาวฮิบรูได้รับการปลดปล่อยจากความเป็นทาส หลังอาหารค่ำในพิธี Passover พระเยซูทรงถูกจับกุม และในวันที่เรียกกันในปัจจุบันว่า วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) พระเยซูก็ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แต่เพียงสองวันนับจากนั้น ท่านก็ทรงฟื้นคืนพระชนม์ชนชาติยิวเป็นคนกลุ่มแรกที่เริ่มเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์นี้ โดยคาดกันว่าอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Passover ที่จริงแล้ว การเฉลิมฉลองเทศกาลอีสเตอร์เดิมเรียกว่า Pascha ซึ่งมาจากคำว่า Pasach คำในภาษายิวที่แปลว่า Passover
เดิมที เทศกาลอีสเตอร์เฉลิมฉลองกันในวันที่สองถัดจากวัน Passover ดังนั้นมันอาจจะเป็นวันไหนก็ได้ในหนึ่งอาทิตย์ แต่วันอีสเตอร์ที่ตรงกับวันพุธ ออกจะรู้สึกแปลกๆอยู่
ในปี ค.ศ. 325 จักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine) ของอาณาจักรโรมัน และที่ประชุมแห่งไนเซีย (The Council of Nicaea) ตัดสินว่าเทศกาลอีสเตอร์ควรต้องตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมา วันอีสเตอร์ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์นั้น จะเป็นวันอาทิตย์แรก หลังพระจันทร์เต็มดวงในวัน Spring Equinox ซึ่งอาจจะเป็นวันไหนก็ได้ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม-25 เมษายน
ในช่วงเดียวกันนี้ ชาวคริสต์ได้เริ่มธรรมเนียมเฉลิมฉลองเทศกาลอีกสเตอร์ขึ้นเป็นอย่างแรก นั่นคือธรรมเนียมการการจุดเทียนปัสกา (Paschal Candle) ซึ่งเปลวเทียนนั้นเป็นสิ่งระลึกถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เป็นเหมือนแสงที่ส่องสว่างออกมาท่ามกลางความมืดมิด
ขณะที่ศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายออกไปทั่วทวีปยุโรป มีธรรมเนียมเดิมตามความเชื่อของเพเกนบางอย่างที่ผสมผสานเข้ากับความเชื่อของศาสนาคริสต์ด้วย ที่จริงแล้ว คาดว่าคำว่า อีสเตอร์ (Easter) อาจจะมาจากชื่อของ เทพีเอสตรา (Eastra) เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิและความอุดมสมบูรณ์ นี่นำเรามาสู่ไข่อีสเตอร์ (Easter Egg)
ไข่เป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดตามความเชื่อในตำนานมาเป็นพันๆปี คาดว่าชาวคริสต์รับเอาไข่มาเป็นส่วนหนึ่งในธรรมเนียมเทศกาลอีสเตอร์ในช่วงศตวรรษที่ 13 ไข่แดงในเปลือกเป็นสัญลักษณ์แทนการปรากฏตัวของพระคริสต์จากหลุมฝั่งพระศพ และย้อมเปลือกไข่เป็นสีแดงเพื่อแทนพระโลหิตที่พระคริสต์ต้องสูญเสียไปบนไม้กางเขน
ไม่นาน ไข่อีสเตอร์หลากสีก็ได้มีประเพณีเป็นของมันเอง และประเพณีที่เป็นที่ชื่นชอบมากคือประเพณีการกลิ้งไข่อีอีสเตอร์ (Egg Rolling) ในปี ค.ศ. 1876 สภาคองเกรสออกกฎห้ามเด็กๆเล่นการละเล่นนี้ในพื้นที่ของสภา ดังนั้น ประธานาธิบดี รัทเธอร์ฟอร์ด บี. เฮส จึงเปิดสนามหญ้าของทำเนียบขาวให้เด็กๆได้เข้ามาเล่นกัน หลังจากนั้นประเพณีกลิ้งไข่อีสเตอร์ประจำทำเนียบขาว (The White House Easter Egg Roll) ก็กลายเป็นประเพณีประจำที่เกิดขึ้นทุกปี
แล้วกระต่ายอีสเตอร์กระโดดมาเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลได้อย่างไร กระต่ายวัยเจริญพันธุ์เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่เกิดใหม่ตามความเชื่อของเพเกนมาเป็นเวลานาน ในช่วงศตวรรษที่ 16 พ่อแม่เริ่มบอกลูกตัวเองว่า ถ้าเด็กๆเป็นเด็กดี กระต่ายอีสเตอร์ก็จะมาวางไข่หลากสีไว้ที่บ้าน เด็กๆก็จะทำรังไว้ในบ้าน เพื่อล่อให้กระต่ายเข้ามา นี่เองเป็นที่มาของประเพณีการล่าไข่อีสเตอร์ (Ester Egg Hunt) และตะกร้าไข่อีสเตอร์ (Easter Basket)
เพื่อช่วยให้เด็กๆ เติมตะกร้าอีสเตอร์ให้เต็มได้ง่ายขึ้น ช่างทำช๊อคโกแล็ตในยุโรป ในช่วงยุคศตวรรษที่ 19 ได้เริ่มผลิตช๊อคโกแล็ตรูปไข่ออกมา ขนมแบบนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และคนในปัจจุบันใช้เงินเป็นพันๆล้านดอลลาร์ทุกปี เพื่อซื้อขนมในเทศกาลอีสเตอร์
เทศกาลอีสเตอร์เป็นวันแห่งความปีติที่ชาวคริสต์เฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู แค่สองพันปีที่ผ่านมานี้มีธรรมเนียมประเพณีใหม่ๆ ถูกผนวกเข้าไว้มากมาย บ้างเป็นประเพณีทางศาสนา และบ้างก็เป็นประเพณีเพื่อความสนุกสนาน แต่อีสเตอร์ยังเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนในครอบครัวมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิด้วย ฤดูกาลที่ชีวิตใหม่เกิดขึ้นหลังความหนาวเย็นของฤดูหนาว
วันอีสเตอร์คืออะไร ประวัติ วันอีสเตอร์ วันสำคัญของชาวคริสต์ เฉลิมฉลองพระเยซูทรงคืนพระชนม์ชีพจากความตาย วันนี้เรามีเกร็ดประวัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ของ easter day มาฝากกัน
ถือว่าเป็นวันสำคัญที่สุดในปฏิทินของชาวคริสตชนเลยก็ว่าได้ สำหรับ "วันอีสเตอร์" (easter day) ซึ่งวันนี้ เป็นวันที่ชาวคริสต์ทุกคนต่างชื่นชมยินดี แต่งตัวสวยงาม และตกแต่งไข่ด้วยสีสันต่าง ๆ มามอบให้แก่กันและกัน เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องจากในวันที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนพระชนม์ชีพจากความตาย
ประวัติ วันอีสเตอร์
วันอีสเตอร์ หรือวันปัสกา เป็นวันเฉลิมฉลองพระเยซูคริสต์ทรงคืนพระชนม์ชีพจากความตาย และเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลมหาพรต ที่ชาวคริสต์ต้องระลึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซูก่อนที่จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน โดยตลอด 40 วันของเทศกาลนี้ เริ่มตั้งแต่วันแรก (วันปาล์มซันเดย์ Palm Sunday) ชาวคริสต์ จะต้องตั้งจิตอธิษฐานรำลึกเหตุการณ์อันทรมานของพระเยซูตามพระคัมภีร์ รวมไปถึงสวดภาวนา บริจาคสิ่งของ อดอาหาร และไม่ฟุ่มเฟือย ดำเนินชีวิตอย่างสมถะที่สุด
ทั้งนี้ วันอีสเตอร์นั้น ไม่มีวันที่ระบุตายตัว แต่ชาวคริสต์ได้ถือเอาวันอาทิตย์แรกหลังพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 4 เป็นตัวกำหนด หลังจากเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์แล้ว จะเข้าสู่เทศกาลปัสกา ซึ่งเทศกาลนี้ เป็นเทศกาลที่ให้ชาวคริสต์ได้รื้อฟื้นความเชื่ออีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตในพระคริสตเจ้า
กิจกรรมวันอีสเตอร์
ชาวคริสต์แต่ละครอบครัวจะแต่งตัวสวยงาม มาร่วมพิธีกรรมในโบสถ์ พร้อมร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า นอกจากนี้ บางครอบครัวก็มักจะตกแต่งไข่เป็นลวดลายสีสันต่าง ๆ เพื่อนำมามอบให้แก่กันและกัน ส่วนบางโบสถ์ก็จัดกิจกรรม ร่วมรับประทานเพื่อเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ รวมไปถึงจัดเกมสนุก ๆ ให้แต่ละครอบครัวหาไข่อีสเตอร์ ที่ถูกซ่อนเอาไว้ในพุ่มไม้หรืกอหญ้าต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เฉลิมฉลองได้ช่วยกันค้นหา และได้ใช้เวลาแห่งความสุขในวันอีสเตอร์ร่วมกัน
สัญลักษณ์ วันอีสเตอร์
สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเฉลิมฉลอง คือ ไข่ โดยชาวคริสต์จะเรียกว่า ไข่อีสเตอร์หรือไข่ปัสกา ทั้งนี้ ก็เพื่อสื่อถึงการเกิดใหม่ ชีวิตที่กำลังเริ่มต้นใหม่ และสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น เต็มไปด้วยความชื่นบานและความดี โดยชาวคริสต์มักจะวาดรูปตกแต่งลวดลายไข่ให้สวยงาม อย่างสนุกสนาน และนิยมกินไข่ในวันดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าหากกินไข่แล้วจะนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาสู่ชีวิตของเรา
ถือว่าเป็นวันสำคัญที่สุดในปฏิทินของชาวคริสตชนเลยก็ว่าได้ สำหรับ "วันอีสเตอร์" (easter day) ซึ่งวันนี้ เป็นวันที่ชาวคริสต์ทุกคนต่างชื่นชมยินดี แต่งตัวสวยงาม และตกแต่งไข่ด้วยสีสันต่าง ๆ มามอบให้แก่กันและกัน เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องจากในวันที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนพระชนม์ชีพจากความตาย
ประวัติ วันอีสเตอร์
วันอีสเตอร์ หรือวันปัสกา เป็นวันเฉลิมฉลองพระเยซูคริสต์ทรงคืนพระชนม์ชีพจากความตาย และเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลมหาพรต ที่ชาวคริสต์ต้องระลึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซูก่อนที่จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน โดยตลอด 40 วันของเทศกาลนี้ เริ่มตั้งแต่วันแรก (วันปาล์มซันเดย์ Palm Sunday) ชาวคริสต์ จะต้องตั้งจิตอธิษฐานรำลึกเหตุการณ์อันทรมานของพระเยซูตามพระคัมภีร์ รวมไปถึงสวดภาวนา บริจาคสิ่งของ อดอาหาร และไม่ฟุ่มเฟือย ดำเนินชีวิตอย่างสมถะที่สุด
ทั้งนี้ วันอีสเตอร์นั้น ไม่มีวันที่ระบุตายตัว แต่ชาวคริสต์ได้ถือเอาวันอาทิตย์แรกหลังพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 4 เป็นตัวกำหนด หลังจากเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์แล้ว จะเข้าสู่เทศกาลปัสกา ซึ่งเทศกาลนี้ เป็นเทศกาลที่ให้ชาวคริสต์ได้รื้อฟื้นความเชื่ออีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตในพระคริสตเจ้า
กิจกรรมวันอีสเตอร์
ชาวคริสต์แต่ละครอบครัวจะแต่งตัวสวยงาม มาร่วมพิธีกรรมในโบสถ์ พร้อมร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า นอกจากนี้ บางครอบครัวก็มักจะตกแต่งไข่เป็นลวดลายสีสันต่าง ๆ เพื่อนำมามอบให้แก่กันและกัน ส่วนบางโบสถ์ก็จัดกิจกรรม ร่วมรับประทานเพื่อเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ รวมไปถึงจัดเกมสนุก ๆ ให้แต่ละครอบครัวหาไข่อีสเตอร์ ที่ถูกซ่อนเอาไว้ในพุ่มไม้หรืกอหญ้าต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เฉลิมฉลองได้ช่วยกันค้นหา และได้ใช้เวลาแห่งความสุขในวันอีสเตอร์ร่วมกัน
สัญลักษณ์ วันอีสเตอร์
สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเฉลิมฉลอง คือ ไข่ โดยชาวคริสต์จะเรียกว่า ไข่อีสเตอร์หรือไข่ปัสกา ทั้งนี้ ก็เพื่อสื่อถึงการเกิดใหม่ ชีวิตที่กำลังเริ่มต้นใหม่ และสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น เต็มไปด้วยความชื่นบานและความดี โดยชาวคริสต์มักจะวาดรูปตกแต่งลวดลายไข่ให้สวยงาม อย่างสนุกสนาน และนิยมกินไข่ในวันดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าหากกินไข่แล้วจะนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาสู่ชีวิตของเรา
